Movie Review and Storyline: MEGALOPOLIS

รีวิวหนัง MEGALOPOLIS นคราอาเพศ

Movie Review and Storyline: MEGALOPOLIS

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง

นักเขียน ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา

ประเภทหนัง:  ดราม่า/ไซไฟ

แนว   ดราม่า/ไซไฟ

ผู้กำกับ:  ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา (Francis Ford Coppola)

นักแสดงนำ:  อดัม ไดรเวอร์ ,จานคาร์โล เอสโปซิโต, นาธาลี เอมมานูเอล, ออบรีย์ พลาซา,ไชอา ลาเบิฟ, จอน วอยต์

เรื่องย่อ Megalopolis นคราอาเพศ

เมืองนิวโรมเข้าสู่ภาวะเสื่อมโทรมและกำลังจะตาย ซีซาร์ คาติลีนา (อดัม ไดรเวอร์) สถาปนิกหนุ่มไฟแรง มีความสามารถพิเศษในการควบคุมเวลาได้ เขาจึงใช้พรสวรรค์นี้รื้อและสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ให้เป็นเมืองในฝันที่ยั่งยืน แต่ความมุ่งมั่นอันแรงกล้ากลับถูกขัดขวางโดยนายกเทศมนตรี แฟรงคลิน ซิเซโร (จานคาร์โล เอสโปซิโต) ที่อยากจะกดโครงสร้างสังคมไว้ให้เป็นแบบเดิม ดูหนังใหม่ 2024 ภาพคมชัด ไม่มีโฆษณาคั่น รับชมหนังฟรี ตลอด 24 ชม.

ความลำบากใจมาตกอยู่กับ จูเลีย (นาธาลี เอมมานูเอล) สาวคนรักของซีซาร์ ลูกสาวของนายกเทศมนตรีบ้าอำนาจคนนั้น เธอจะต้องเลือกระหว่างความรักและอุดมการณ์ กับความภักดีต่อบิดาบังเกิดเกล้าบอกเลยว่า เรื่องนี้เป็นหนังที่เห็นโปสเตอร์ และตัวอย่าง เป็นหนังที่โคตรน่าดู แต่แปลกใจ ทำไมโปรโมทน้อย กระแสไม่ค่อยมี ทั้งๆที่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ ทุนสร้างสูง และฝีมือผู้กำกับระดับตำนานอย่าง ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ดีกรีรางวัลออสการ์ และมีผลงานที่หลายๆคนกล่าวถึง (ซึ่งเราก็ไม่เคยดู) อย่าง The Godfather และ Apocalypse Now

ก่อนไปดูก็มีการเตรียมตัว ทำการบ้านและหาข้อมูลไปพอสมควร คร่าวๆคือหนังเรื่องนี้ ใช้เวลาพัฒนานานมาก และกว่าจะได้ทำ ก็กินเวลามาจนถึง ช่วงชีวิตวัยเลข9 ของผู้กำกับคนนี้ และนำไปเสนอค่ายไหน ก็ไม่มีคนซื้อ จนต้องขายไร่องุ่น เพื่อทำตามความฝันของเขา ทุนสร้างราวๆ120ล้าน และบานปลายไป140++ พอสร้างเสร็จ นำไปเสนอค่ายหนังในราคา200ล้านเหรียญ ค่ายไหน ก็ไม่มีใครซื้อ เพราะหนังดูยาก และขายยาก ไม่มีใครกล้าเสี่ยง

‘Megalopolis’ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นใน นิวโรม (New Rome) มหานครในจินตนาการบนผืนแผ่นดินอเมริกา ที่กำลังตกอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม ซีซาร์ คาทิลินา (อดัม ไดร์เวอร์ – Adam Driver) สถาปนิกนักออกแบบเมืองผู้มีอุดมคติแรงกล้า และความสามารถในการควบคุมเวลา ต้องการที่จะรื้อและสร้างนิวโรมที่ทุกคนอยู่กันอย่างยั่งยืน ด้วยวัสดุชนิดใหม่ที่เรียกว่าเมกาลอน (Megalon) ที่เขาคิดค้นขึ้น แต่เขาต้องเผชิญกับแรงเสียดทานของนายกเทศมนตรีแฟรงคลิน ซิเซโร (จิอันคาร์โล เอสโปซิโต – Giancarlo Esposito) ที่มีแนวคิดต้องการรักษานิวโรม และกดโครงสร้างทางสังคมเอาไว้ให้เป็นเหมือนเดิม ในขณะที่ลูกสาวของเขา จูเลีย ซิเซโร (นาตาลี เอ็มมานูเอล – Nathalie Emmanuel) เองก็ต้องการพิสูจน์ว่าเมืองในฝันของซีซาร์จะกลายเป็นจริงได้หรือไม่ ท่ามกลางอุปสรรคที่ไม่ได้มาจากแค่พ่อของเธอ แต่ยังมีญาติห่าง ๆ คลอดิโอ พูลเชอร์ (ไชอา ลาบัฟ – Shia LaBeouf) และอดีตคนรัก ว้าว แพลตินัม (ออเบรย์ พลาซา – Aubrey Plaza) คอยขัดขวาง

แม้ว่าในหนังจะไม่ได้บ่งบอกอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าคอปโปลาน่าจะได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ The Catilinarian Conspiracy หรือแผนสมคบคิดของลูเซียส เซอร์จิอุส คาทิลินา (Lucius Sergius Catilina) ที่ก่อการกบฏเพื่อยึดอำนาจอาณาจักรโรมันในช่วง 63 ปีก่อนคริสตกาล ที่ชัดเจนก็คือ ตัวละครตระกูลคาทิลินา และตระกูลซิเซโรที่อยู่ในหนัง ก็อ้างอิงมาจากชื่อของศัตรูคู่แข่งในเหตุการณ์นี้นี่แหละ แต่ก็คงไม่ถึงต้องไปตามหาอ่านก่อนดูอะไรขนาดนั้นนะครับ เพียงแต่ว่าตัวหนังหยิบเอาเรื่องราวของการขัดกันในอุดมการณ์ และชื่อบุคคลมาใช้ในนิวโรม หรือกรุงโรมที่ถูกดัดแปลงให้มีความเป็นอเมริกันแบบ Modernized มาผสมเข้าความเป็นไซไฟแฟนตาซีมากกว่า

Megalopolis 2024 American Zoetrope Lionsgate

คือไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ ผู้เขียนก็ยังรู้สึกได้ถึงความบ้าพลังของคุณคอปโปลาเขานะครับ เพราะในวัย 85 กะรัดขนาดนี้ คงมีผู้กำกับไม่มากคนเลยที่จะกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรใหญ่ ๆ ที่ผลาญทั้งเงิน เวลา ทรัพยากร แรงกายแรงใจ และเต็มไปด้วยแรงทะเยอทะยานมากขนาดนี้ เป็นงานที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานที่สะท้อนผ่านตัวหนัง และการเล่าเรื่องที่มีความเป็นนิทานปรัมปรา ละครเวทีสไตล์โรมันแต่งสูท ในขณะเดียวกันมันก็มีความเป็นหนังไซไฟแฟนตาซี ทะลุขอบไปจนถึงการเป็นหนังอาร์ตเฮาส์และหนังทดลองไปเลยก็มี เรียกว่าไม่ประณีประนอมจนดูรู้เลยว่าปู่เค้าคงไม่มานั่งเครียดเรื่องกำรี้กำไรกับหนังเรื่องนี้แล้วละมั้งนะ (และอีกอย่างคือ หนังสเกลนี้กับผู้กำกับวัยนี้ คงไม่น่าจะทำได้บ่อย ๆ นักหรอก)

อีกสิ่งที่น่าพูดถึงก็คือบรรดาวิชวล ไม่ว่าจะในแง่ขององค์ประกอบภาพ การตัดต่อ เชื่อมและเว้นจังหวะของภาพที่มีความน่าสนใจ การใส่ Superimpose หรือตัวหนังสือเพื่อเล่าเรื่อง หรือการ Dissolve ภาพในแบบหนังของคอปโปลาหลาย ๆ เรื่อง รวมทั้ง Art Direction ที่เป็นการรวมเอาวิชวลของความเป็นอเมริกันยุค 1920 สถาปัตยกรรมแบบ Art Deco เข้ากับศิลปะสไตล์กรีกโรมันที่สะท้อนผ่านเสื้อผ้าหน้าผม การคุมโทนสี การจัดแสง เสียง องค์ประกอบภาพ และงานดีไซน์เมืองนิวโรมที่ล้ำอนาคตมาก ๆ แต่ก็ยังมีเรื่องที่น่าบ่นก็คือ แม้งาน CGI และวิชวลโดยรวมจะทำออกมาได้สวยตื่นตาอลังการจนต้องดูกับจอใหญ่ แต่บางฉากก็กลับดันพลาดให้กับงาน Green Screen ง่าย ๆ ที่ดันทำออกมาได้ลอยจนน่าเกลียดเสียอย่างนั้น

Megalopolis 2024 American Zoetrope Lionsgate

แม้ว่าเราจะรู้ว่าคอปโปลามีเจตนาอันดีที่ต้องการจะสื่อสารหลากหลายประเด็น (ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ แล้วก็เชยแหละ) แต่มันก็มีอะไรที่น่าสนใจอยู่ ทั้งการเล่าเรื่องของสัจธรรมเกี่ยวกับเวลาและความไม่จีรังยั่งยืน การล่มสลายและกำเนิดใหม่ของอารยธรรม ปมการฆาตกรรมที่ทำให้แม้แต่คนที่มีหัวคิดก้าวไกลอย่างซีซาร์ยังก้าวข้ามอดีตของตัวเองไปไม่พ้น ความขัดแย้งของคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ แนวคิดโลกเก่าและแนวคิดโลกใหม่ เมืองกับความเป็นยูโทเปียและดิสโทเปีย ความรักที่ขับเคลื่อนแรงบันดาลใจ ความเกลียดชังที่แผดเผาทุกสิ่งรวมถึงตัวผู้ที่เกลียดชังนั้น รวมทั้งประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งในการเมืองที่สะท้อนภาพประวัติศาสตร์โลกอย่างชัดแจ้ง ตั้งแต่สงครามโลก, สงครามเย็น โลกเสรีและสังคมนิยม เรื่อยไปจนถึงเหตุการณ์ 9/11 จากคนรุ่นเก่าตกผลึกที่ฝากเอาไว้ให้คนรุ่นหลัง และคนรุ่นอนาคตได้คิดต่อ

แต่พอมันมีความเป็นงานส่วนตัวมาก ๆ คือนอกจากตัวหนังจะโหมระดมวิชวลอันแสนพิศดาร ไม่ว่าจะบรรดางานวิชวลอันตื่นตา การตัดต่ออันหวือหวาโหวกเหวกวุ่นวาย การเล่าเส้นเรื่องอันพร่ามัวชวนสับสน และการแสดงของนักแสดงที่เต็มไปด้วยความแปลกแปร่ง มันก็เลยเป็นหนังที่ดูไม่ง่าย โดยเฉพาะครึ่งแรกที่พาคนดูเหวี่ยงผ่านการแสดงอันอึงอล และนามธรรมที่ยากจะเชื่อมโยงกับเรื่องราว ค่อย ๆ ผลักให้คนดูถอยห่างจากตัวหนังออกไปเรื่อย ๆ กว่าที่หนังจะนิ่งพอให้โฟกัสประเด็น (การเมือง) และเนื้อเรื่อง (การมุ้ง) ได้ก็ต้องรอครึ่งหลังที่มีความเข้ารูปเข้ารอยมากกว่าเป็นต้นไป จนแอบอดคิดไม่ได้ว่า หากถอดเปลือกอันหวือหวาออกไป เราอาจจะได้หนังดราม่าการเมือง (ผสมการมุ้ง) ที่สะท้อนประเด็นเกี่ยวกับสังคม ความเป็นมนุษย์ และความเป็นอนิจจังที่หนังต้องการจะสื่อ เข้าไปถึงคนหมู่มากได้ดีกว่านี้หรือเปล่านะ

Megalopolis 2024 American Zoetrope Lionsgate

อีกจุดที่ตัวหนังแอบทำได้ไม่ค่อยคุ้มค่านักก็คือการใช้บริการนักแสดงจำนวนมาก เอาแค่ที่คุ้นชื่อก็เกินนิ้วนับแล้ว คือแม้ว่าการแสดงของนักแสดงแกนหลักของหนังทั้งไดร์เวอร์, เอ็มมานูเอล และเอสโปซิโตจะอยู่ในระดับที่เรียกว่าได้ตามมาตรฐานและช่วยกันประคับประคองหนังได้ในระดับหนึ่ง แต่ความโหวกเหวกของบท ก็ทำให้การแสดงและคาแรกเตอร์ของพวกเขาเป็นไปอย่างแปลกแปร่งผิดทิศผิดทางไปหมด จะเล่นเล็กแบบหนังก็ไม่ใช่ จะเล่นใหญ่แบบละครเวทีก็ไม่เชิงอีก

ในขณะที่นักแสดงหลาย ๆ คน อาทิ ดัสติน ฮอฟแมน (Dustin Hoffman) ในบท นัช เบอร์แมน หรือแม้แต่น้าลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น (Laurence Fishburne) ที่รับบทเป็น ฟันดิ โรเมน สารถีคู่ใจของซีซาร์ (และผู้บรรยาย) กลับไม่มีบทบาทโดดเด่นอะไรนัก ในทางกลับกัน บทบาทที่ดูจะมีอะไรอยู่ กลับเป็นพลาซาที่ได้โชว์จริตการแสดงอันร้ายกาจ และลาบัฟ ที่แม้ตัวหนังจะทำให้การแสดงของเขาออกมาดูสะเปะสะปะน่ารำคาญมากกว่าโชว์ฝีมือ แต่ก็รู้สึกว่าอีตานี่เหมาะกับบทแนวอัปรีย์สีกบาลอยู่เหมือนกันนะ ติดตามเรื่องราวทั้งหมดของหนังได้ที่ 2u-hd.com โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องสมัครสมาชิกให้ยุ่งยาก ได้แล้ววันนี้

#ดูหนังใหม่2024 #MEGALOPOLIS #นคราอาเพศ #รีวิวหนัง #MovieReview กลับด้านบน
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15

Comments on “Movie Review and Storyline: MEGALOPOLIS”

Leave a Reply

Gravatar